ปรัชญาการศึกษา
เป็นความคิด
ความเชื่อถือ ที่ใช้หลักในการคิดและการจัดหลักสูตรและการสอนให้แก่ผู้เรียน (ทิศนา
แขมมณี) เป็นเรื่องของความเชื่อพื้นฐาน
หรือเหตุผลเบื้องหลังของการจัดการศึกษาของคนใดคนหนึ่ง หรือสังคมใดสังคมหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีอยู่ชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร
หรือซ่อนเร้นอยู่ในความรู้สึก ความคิดและการกระทำของบุคคล
ต่าง ๆ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์)
ต่าง ๆ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์)
ระบบหรือแนวความคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบที่สำคัญของการศึกษา
ได้แก่ ความมุ่งหมาย นโยบาย เนื้อหาสาระ ยุทธศาสตร์การเรียนการสอน การบริหารการศึกษา
ฯลฯ
อันเป็นผลเนื่องมาจากการศึกษาวิเคราะห์และกลั่นกรองอย่างรอบคอบโดยอาศัยปรัชญาเป็นพื้นฐาน
มุ่งศึกษาวิเคราะห์สาระและธรรมชาติของการศึกษา
เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายและวิธีการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับคุณค่าและความหมายของชีวิตที่ดีตามอุดมการณ์ของสังคม
(วิจิตร ศรีสอ้าน)
(1) วิธีสอนโดยใช้ Internet
วิธีสอนโดยใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์
( Internet)
เป็นการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อคอมพิวเตอร์
ทั้งในแบบออฟไลน์ ในรูปซีดี-รอม และแบบออนไลน์ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพ โดยเนื้อหาของบทเรียนอยู่ในรูปข้อความ ภาพนิ่ง
เสียง วีดิทัศน์ หรือมัลติมีเดีย และมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
และระหว่างผู้เรียนด้วยกันเองผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
(2) วิธีสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้
- แหล่งการเรียนรู้
เป็นสถานที่หรือบุคคลที่จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้หรือประสบการณ์ตรง
-
แหล่งการเรียนรู้มีความสำคัญต่อผู้เรียนในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
-
แหล่งการเรียนรู้จำแนกได้เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ แหล่งการเรียนรู้บุคคล
แหล่งการเรียนรู้อาชีพ และแหล่งการเรียนรู้สังคม
(3) วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง
สถานการณ์จำลอง คือ
การนำเอาสถานการณ์จริงจำลองหรือมาจัดใหม่
แต่พยายามให้มีสภาพใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด แล้วให้ผู้เรียนอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ
เพื่อแก้ปัญหาหรือปฏิบัติงาน
การจัดสถานการณ์จำลองให้ผู้เรียน จะทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกการแก้ปัญหา การควบคุมสถานการณ์ การตัดสินใจ
ตลอดจนการทำงานเป็นกลุ่ม ภายใต้สภาพแวดล้อมสมจริง
(4) วิธีสอนโดยใช้การทดลอง
- การสอนโดยใช้การทดลอง
เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียน
ได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
- ลำดับขั้นตอนการสอนเริ่มตั้งแต่
ขั้นเตรียมการ
ทดลอง
ขั้นนำเข้าสู่การทดลอง
ขั้นดำเนินการ
ทดลอง และขั้นเสนอผลสรุปและอภิปรายผล
ความหมายของนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา
วสันต์ อติศัพท์ กล่าวไว้ว่า นวัตกรรม หรือ นวกรรม
เป็นคำสมาสระหว่าง “นว” และ “กรรม”
ซึ่งมีความหมายว่า ความคิดและการกระทำใหม่ ๆ
ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
นวักรรมการศึกษาก็หมายถึง
ความคิดและการกระทำใหม่ ๆ
ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการศึกษา
“เทคโนโลยี”(Technology)ในการจัดการเรียนการสอน
เช่นโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์ใช้คอมพิวเตอร์ให้นักเรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยการปฏิบัติตามขั้นตอน
นักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนของการเรียนรู้ที่ซอฟแวร์ในคอมพิวเตอร์
สั่งการตามลำดับขั้นการใช้วิดีโอเทปการใช้วิทยุ
ใช้โทรทัศน์ช่วยสอนรับบทเรียนทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ
การใช้นวัตกรรม(Innovation)และเทคโนโลยี(Technology)ในการจัดการศึกษาคือใช้ในการเรียนการสอนถ้าใช้ทั้ง2อย่างร่วมกันด้วยการนำเอาเทคนิคและสิ่งประดิษฐ์ใหม่
ๆทางวิทยาศาสตร์มาใช้เรียก“INNOTECH”ซึ่งมาจากคำเต็มว่า“Innovation
Technology”เป็นการนำเอาคำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน
ในปัจจุบันถือว่าเป็นความจำเป็นที่โรงเรียนจะต้องนำเอาหลักวิชาใหม่ๆประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นใช้และใช้เทคนิคใหม่ๆที่เป็นInnovation มาใช้ร่วมกันไปกับสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นอุปกรณ์สำเร็จรูปเป็นเครื่องช่วยสอนซึ่งเป็นTechnologyนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนไปว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องนำ INNOTECH
เข้ามาใช้ในโรงเรียนหรือสถานศึกษา
หลักการและทฤษฎีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา
1.หลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาการศึกษา
1.1 ทฤษฎีการเรียนรู้
1.2 ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล
1.3 ทฤษฎีการพัฒนาการ
2. ทฤษฎีการสื่อสาร
3. ทฤษฎีระบบ
4. ทฤษฎีการเผยแพร่
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีการศึกษานั้นเป็นทฤษฎีที่ได้จาก
2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มพฤติกรรม (Behaviorism)
2. กลุ่มความรู้ (Cognitive)
กลุ่มพฤติกรรม (Behaviorism)
นักจิตวิทยาการศึกษากลุ่มนี้
เช่น chafe Watson Pavlov, Thorndike, Skinner ซึ่งทฤษฎีของนักจิตวิทยากลุ่มนี้มีหลายทฤษฎี
เช่น ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง
(Connectionism Theory) ทฤษฎีการเสริมแรง (Stimulus-Response
Theory)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข
(Conditioning Theory) เจ้าของทฤษฎีนี้คือ
พอฟลอบ (Pavlov) กล่าวไว้ว่า ปฏิกริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งของร่างกายของคนไม่ได้มาจากสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว
สิ่งเร้านั้นก็อาจจะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นได้
ถ้าหากมีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้องเหมาะสม
ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง
(Connectionism Theory) เจ้าของทฤษฎีนี้
คือ ทอนไดค์ (Thorndike) ซึ่งกล่าวไว้ว่า สิ่งเร้าหนึ่ง ๆ
ย่อมทำให้เกิดการตอบสนองหลาย ๆ อย่าง จนพบสิ่งที่ตอบสนองที่ดีที่สุด
เขาได้ค้นพบกฎการเรียนรู้ที่สำคัญคือ
1. กฎแห่งการผล (Low of Effect)
2. กฎแห่งการฝึกหัด
(Lowe of Exercise)
3. กฎแห่งความพร้อม
(Low of Readiness)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไข/ทฤษฎีการเสริมแรง
(S-R Theory หรือ Operant Conditioning) เจ้าของทฤษฎีนี้คือ สกินเนอร์ (Skinner) กล่าวว่า ปฏิกริยาตอบสนองหนึ่งอาจไม่ใช่เนื่องมาจากสิ่งเร้าสิ่งเดียว
สิ่งเร้านั้นๆ ก็คงจะทำให้เกิดการตอบสนองเช่นเดียวกันได้
ถ้าได้มีการวางเงื่อนไขที่ถูกต้อง
การนำทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพฤติกรรมมาใช้กับนวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษานี้จะใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนให้เข้ากับลักษณะดังต่อไปนี้คือ
1.
การเรียนรู้เป็นขั้นเป็นตอน (Step by Step)
2.
การมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของผู้เรียน (Interaction)
3.
การได้ทราบผลในการเรียนรู้ทันที (Feedback)
4.
การได้รับการเสริมแรง (Reinforcement)
ทฤษฎีการรับรู้
ทฤษฎีการรับรู้
การรับรู้เป็นผลเนื่องมาจาการที่มนุษย์ใช้อวัยวะรับสัมผัส
(Sensory motor) ซึ่งเรียกว่า เครื่องรับ (Sensory)
ทั้ง 5 ชนิด คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง
จากการวิจัยมีการค้นพบว่า
การรับรู้ของคนเกิดจากการเห็น 75% จากการได้ยิน 13% การสัมผัส 6% กลิ่น 3% และรส
3%
การรับรู้จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มีอิทธิพล หรือปัจจัยในการรับรู้ ได้แก่ ลักษณะของผู้รับรู้
ลักษณะของสิ่งเร้า
กลุ่มความรู้ (Cognitive)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นความสำคัญของส่วนรวม
ดังนั้นแนวคิดของการสอนซึ่งมุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นส่วนรวมก่อน
โดยเน้นเรียนจากประสบการณ์ (Perceptual
experience) ทฤษฎีทางจิตวิทยาของกลุ่มนี้ซึ่งมีชื่อว่า Cognitive
Field Theory หรือ ทฤษฎีสนามนักจิตวิทยาในกลุ่มนี้ เช่น
โคเลอร์(kohler) เลวิน (Lawin) วิทคิน
(Witkin)
แนวคิดของทฤษฎีนี้จะเน้นความพอใจของผู้เรียน
ผู้สอนควรให้ผู้เรียนทำงานตามความสามารถของเขาและคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จ
การเรียนการสอนจะเน้นให้ผู้เรียนลงมือกระทำด้วยตัวเขาเอง ผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะ
การนำแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มความรู้
(Cognition) มาใช้คือ
การจัดการเรียนรู้ต้องให้ผู้เรียนได้รับรู้จากประสาทสัมผัส
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้
จึงเป็นแนวคิดในการเกิดการเรียนการสอนผ่านสื่อที่เรียกว่า โสตทัศนศึกษา (Audio
Visual)
ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล
ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Differences Theory) ได้รับการพัฒนามาจากแนวความคิดเรื่องสิ่งเร้าและการตอบสนอง
(Stimulus-Response) หรือทฤษฎี
เอส-อาร์ (S-R theory) ของกาเย่(Gagne)และนำมาประยุกต์ใช้ (Defleur, 1966) อธิบายว่า
บุคคลมีความแตกต่างกันหลายประการ เช่น บุคลิกภาพ ทัศนคติ สติปัญญา และความสนใจ
เป็นต้น
ความแตกต่างนี้ยังขึ้นอยู่กับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมทำให้มีพฤติกรรมการสื่อสารและ
การเลือกเปิดรับสารที่แตกต่างกัน ได้แก่
1)
มนุษย์เรามีความแตกต่างกันมากในองค์ประกอบทางจิตวิทยาส่วนบุคคล
2)
ความแตกต่างนี้บางส่วนมาจากลักษณะแตกต่างทางชีวภาค หรือทาง ร่างกายของแต่ละบุคคล
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากความแตกต่างที่เกิดจากการเรียนรู้
3)
มนุษย์ซึ่งถูกชุบเลี้ยงภายใต้สภาพการณ์ต่างๆ จะเปิดรับความคิดเห็น แตกต่างกันไป
4)
การเรียนรู้สิ่งแวดล้อมทำให้เกิดทัศนคติ ค่านิยม
และความเชื่อที่รวมเป็นลักษณะทางจิตวิทยาส่วนบุคคลที่แตกต่างกันไป
ทฤษฎีพัฒนาการของเปียเจท์
ได้อธิบายว่าการพัฒนาสติปัญญาและความคิดของผู้เรียนนั้น
เกิดจากการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม และผู้สอนควรจะต้องจัดสภาพแวดล้อม
ทางการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียนด้วย
ทฤษฎีพัฒนาการของบรูนเนอร์
ได้อธิบายว่าความพร้อมของเด็กสามารถจะปรับได้
ซึ่งสามารถจะเสนอเนื้อหาใดๆ แก่เด็กในอายุเท่าใดก็ได้แต่จะต้องรู้จัการจัดเนื้อหา
และวิธีการสอนที่เหมาะสมกับพัฒนาการของงเด็กเหล่านั้น
ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นจะต้องเข้าใจเด็ก และรู้จักกระตุ้นโดยการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็ก
ทฤษฎีพัฒนาการของอิริคสัน
ได้อธิบายว่า
การพัฒนาการทางบุคลิกภาพย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอินทรีย์กับสภาพสังคมที่มีอิทธิพลมาเป็นลำดับขั้นของการพัฒนาและจะสืบเนื่องต่อๆไป
เด็กที่มีสภาพสังคมมาดีก็จะมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีด้วย
ดังนั้นผู้สอนควรจะสร้างสัมพันธภาพกับผู้เรียนให้ความสนใจเพื่อแก้ปัญหาค่านิยมบางประการ
ทฤษฎีพัฒนาการของกีเซล
ได้อธิบายว่า
พฤติกรรมของบุคคลจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการซึ่งจะเป็นไปตามธรรมชาติและเมื่อถึงวัยก็สามารถกระทำพฤติกรรมต่างๆได้เอง
ไม่จะเป็นต้องฝึกหรือเร่งเมื่อยังไม่พร้อม
ในการจัดการเรียนการสอนผู้สอนจะต้องคำนึงถึงความพร้อม ความสามารถ ความสนใจ
และความต้องการของผู้เรียน
ทฤษฎีการสื่อสาร
การสื่อสาร (communication )คือกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่าวสารระหว่างบุคคลต่อบุคลหรือบุคคลต่อกลุ่ม โดยใช้สัญลักษณ์ สัญญาณ
หรือพฤติกรรมที่เข้าใจกัน โดยมีองค์ประกอบดังนี้
ทฤษฎีระบบหรือการคิดอย่างกระบวนระบบ
( Systemic Thinking)
( Systemic Thinking)
ระบบ หมายถึง ส่วนประกอบต่าง ๆ ซึ่งประกอบกันขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว
มีความสัมพันธ์กันในทางหนึ่งทางใดรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน
กระทำการเพื่อความสำเร็จตามที่ต้องการ
ทฤษฎีระบบ (Systems theory) จัดเป็นสาขาวิชาเกิดขึ้นช่วงปลายทศวรรษที่
20 ทฤษฎีระบบเป็นสาขาวิชาที่พัฒนาขึ้นโดยอาศัยแนวความคิดหลายสาขา
โดยทำแนวคิดจากหลายสาขาวิชามาประยุกต์ผสมผสานสร้างเป็นทฤษฎีระบบขึ้นมา
ทฤษฎีการเผยแพร่
การเผยแพร่(Diffusion)หมายถึง
กระบวนการที่ทำให้นวัตกรรมได้รับการยอมรับและถูกนำไปใช้โดยสมาชิกของชุมชนเป้าหมาย
ทฤษฎีการเผยแพร่นั้น
เกิดจากการผสมผสานทฤษฎีหลักการและความรู้ความจริงจากหลายสาขาวิชาที่มีศาสตร์เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่
แต่ละศาสตร์ก็จะมีส่วนประกอบเฉพาะในส่วนที่เป็นนวัตกรรมของศาสตร์นั้นๆ
ผลจากการรวบรวมกระบวนการวิธีการและทฤษฎีการเผยแพร่ของศาสตร์ต่างๆนำไปสู่การสร้างทฤษฎีการเผยแพร่ขึ้น
ความสัมพันธ์กันระหว่างเทคโนโลยีการศึกษากับการจัดการเรียนการสอน
ดังนั้นการบูรณาการนวัตกรรมเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษาเพื่อตอบสนองต่อพระราชบัญญัติการศึกษา
พ.ศ. 2542 ที่มีการบัญญัติไว้ในหมวด 9 ว่าด้วยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีในการเรียนการสอนอย่างกว้างขวาง
ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิด “การสอนด้วยเทคโนโลยี” มากกว่า “การสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยี”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น